EP14 โบท็อกซ์ (Botox) คืออะไร?
โบท็อกซ์ (Botox) คืออะไร?
ไม่มีสินค้าในตะกร้า


โบท็อกซ์ (Botox) คืออะไร?


6 วิธีให้หน้า V-Shape ลดเหนียง หน้าใหญ่


วิธีฟื้นฟูผิวหน้าด้วยเลือด (PRP) ทางเลือกสู่ความอ่อนเยาว์


การร้อยไหมคริสตัล หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า ไหมเงี่ยง หรือไหมก้างปลา เพราะมีลักษณะของเส้นไหมนั้นมีเงี่ยงยื่นออกมาเหมือนก้างปลานั้นเอง ในการร้อยไหมคริสตัลนั้นเป็นการนำเส้นไหมเส้นเล็ก ๆ มาร้อยบริเวณใต้ผิวหนัง เป็นเทคนิคที่ช่วยยกกระชับผิวโดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด อีกทั้งยังช่วยปรับรูปหน้าให้ดูเรียว ลดเรือนริ้วรอย ฟื้นฟูสภาพผิวให้ดีขึ้น และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวบริเวณที่ร้อยไหมกระชับและแข็งแรง อยู่ได้นานขึ้น ซึ่งวัสดุที่นำมาทำไหมเงี่ยง เป็นไหมละลายที่ใช้ในทางการแพทย์ได้อย่างปลอดภัย ชนิดของไหมที่ใช้ในการ ร้อยไหมคริสตัลนั้นมีทั้งหมด 3 ชนิด PDO เป็นไหมที่มาจากไหมในการเย็บเส้นเลือดหัวใจเพราะเป็นไหมละลายที่มีประสิทธิภาพสูงและจะละลายไปเองตามกระบวนการการทำงานของร่างกาย โดยเฉลี่ย ที่ 8-12 เดือน และมีความยืดหยุ่นปานกลาง นิ่ม ไม่เปราะ PLLA เป็นไหมที่ค่อนข้างแข็ง ในการใช้ร้อยไหมยกกระชับ แต่ค่อนข้างเปราะหักง่าย PLC เป็นไหมที่มีความยืดหยุ่นค่อนข้างสูงและเส้นเล็กจึงเหมาะกับการร้อยในจุดที่ละเอียดอ่อนเช่นใต้ดวงตาเป็นต้น ปัจจุบันได้พัฒนาให้มีการผสมตัว PLLA เข้าไปเลยกลายเป็นไหมที่มีประสิทธิภาพที่ดีที่สุด หลังจากการรอยไหมคริสตัลไปนั้น ประสิทธิภาพจะเริ่มเห็นผลได้ภายใน 1 – 2 เดือน และจะเห็นประสิทธิภาพสูงสุดภายใน 6 เดือน และจะอยู่ได้ถึง 1 – 1.5 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาของคนไข้ผู้ได้รับการร้อยไหมเงี่ยงนั้นเอง


เรื่องอ้วนๆ นี้หมอกระติ๊บถนัดเลย เพราะชีวิตนี้ยังไม่เคยผอม ก่อนจากกันวันนี้มาเล่าประสบการณ์ตัวเองเลยดีกว่า หลังจากเรื่องวิชาการน่าเบื่อมาฟังชีวิตอ้วนๆ ของหมออ้วนๆ คนหนึ่งที่พยายามจะผอมตลอดชีวิต!!! เริ่มจากตอนเด็กๆ ก็ไม่ได้อ้วน คนเรามักจะเข้าใจผิดว่าถ้าจะอ้วนจะผอม ชาติเป็นตัวกำหนด จริงๆ แล้วมันเป็นจริงแค่ส่วนเดียว เด็กที่เกิดมาสองกิโลก็มีโอกาสโตมาเป็นผู้ใหญ่อ้วนฉุเกินร้อยกิโลได้ ส่วนเด็กที่เกิดมาจ้ำม่ำเกินสี่กิโล ก็มีโอกาสโตขึ้นมาเป็นคนหุ่นดีผอมเพียวได้เช่นกัน ซึ่งพ่อแม่ กรรมพันธุ์เป็นส่วนหนึ่ง แต่ส่วนสำคัญคือพฤติกรรมและการเลี้ยงดูต่างหากหมอกระติ๊บเกิดมาแค่สามกิโลนิดๆ แถมโตขึ้นมาไม่ใช่เด็กจ้ำม่ำ หุ่นเหมือนเด็กปกติตั้งแต่อนุบาล เพราะแม่จะควบคุมการกินตั้งแต่เด็ก คือไม่ให้กินน้ำอัดลมมาก ไม่ให้กินของหวานเยอะ พวกของทอดหรืออาหารที่มีแคลอรีสูงมากมักจะถูกจำกัดจำเขี่ยให้กินเพราะกลัวจะโตมาเป็นเด็กอ้วน แต่พอปิดเทอมมักจะได้ไปเที่ยวที่บ้านญาติ ซึ่งของกินอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งมีความเชื่อว่าเด็กอ้วนน่ารัก ปล่อยมันกินไปเหอะ เดี๋ยวโตมันก็ผอม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ เด็กที่ถูกจำกัดนู่น ห้ามกินนี่ก็ห้ามกิน ทำให้เวลาได้กินเหมือนกับตบะแตก เอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ มีอะไรให้ฉันกินอีกไหมกินทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น จังก์ฟูด ไก่ทอดยามดึก ทุเรียนเป็นลูกๆ ซึ่งตอนอยู่บ้านไม่ได้กิน ทำให้โหยกระหายเป็นพิเศษ ไอ้นู่นก็ไม่เคยกิน ไอ้นี่ก็อยากกิน ทำให้เกิดภาวะบรู้มมม!! ร่างเกือบแตกน้ำหนักเพิ่มขึ้นเพียบ แค่ปิดเทอมสองเดือนกว่าๆ และมันเป็นจุดเริ่มของการเป็นเด็กอ้วน เพราะตอนนี้ไม่มีอะไรจะฉุดอยู่แล้ว พอไม่ได้กินก็จะงอแงจนสุดท้ายก็จะได้กิน จากนั้นก็ดำเนินชีวิตแบบเด็กอ้วนมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้ามัธยมศึกษา ตอนประถมศึกษาก็ไม่ได้มีความอยากสวยอะไร แม้ว่าจะอยู่โรงเรียนหญิงล้วน เรื่องอ้วนก็เป็นเรื่องธรรมดาเด็กอ้วนเยอะแยะ อ้วนกว่าเรามีอีกเยอะ …


หมอกระเป๋า อาชีพเก่าแก่ที่เกิดมาพร้อมกับความแพร่หลายทางด้านการเสริมความงามเลยทีเดียว ตั้งแต่สมัยก่อนที่รับฉีดสารพวกคอลลาเจน (เรียกให้ไพเราะ) หรือจริงๆ ก็คือซิลิโคนเหลวนั่นเอง เมื่อก่อนหมอกระเป๋าจะมาพร้อมกับกระเป๋าเจมส์บอนดหนึ่งใบพร้อมสารพัดอุปกรณ์การฉีด ซึ่งดูๆ แล้วไม่น่าจะถูกสุขอนามัยเท่าไร สมัยก่อนการฉีดซิลิโคนเหลวจะแพร่หลายอย่างมาก รวมถึงการฉีดพาราฟินเพื่อเพิ่มขนาดอวัยวะเพศชาย คนที่เป็นหมอกระเป๋าส่วนใหญ่จะพัฒนามาจากผู้ช่วยหมอจริงๆ แบบครูพักลักจำแล้วมาเปิดสำนักหมอกระเป้ารับฉีดตามบ้าน ซึ่งข่าวฉีดแล้วเน่าก็มีให้เห็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ฉีดจู๋ให้ใหญ่จนเน่าจนต้องตัดทิ้งนี่ได้ยินมาเยอะเลยทีเดียว ส่วนสมัยนี้หมอกระเป๋าได้อัปเลเวลขึ้นอีก เพราะว่าคลินิกเสริมความงามเปิดเป็นดอกเห็ด (หมอกระเป๋าก็เลยมีที่เรียนรู้เยอะขึ้น) ยาฉีดก็หาซื้อได้ง่าย พอๆ กับพาราเซตามอล เพียงแค่คลิกในอินเทอร์เน็ต คุณก็จะเจอมากมาย ซึ่งหมอกระเป๋าสมัยนี้จะให้บริการหมด ทั้งฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ กลูต้า อัปอึ๋ม อัปสะโพกฉีดฮอร์โมน และสารพัดที่จะฉีดได้ และเป็นทางเลือกสำหรับสาวที่อยากสวย แต่ราคาประหยัด เนื่องจากราคาถูกกว่าคลินิกมากโขอยู่แต่คนเราบอกเลยว่าอย่าเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย อย่าเห็นแก่ของราคาถูกจนหน้ามืด เพราะตอนฉีดเข้าไปใหม่ๆอาจจะยังไม่รู้ถึงผลเสีย อาจจะสวยอยู่ แต่ผลเสียในอนาคตยังไม่มีใครบอกได้ เอาง่ายๆ อย่างโบท็อกซ์ ถ้าโดนของปลอมเข้าไปจะเกิดการดื้อยาในอนาคต ทำให้ต้องใช้ยามากกว่าเดิม หรือถึงกลับมาใช้ยาแท้ก็จะไม่เห็นผล อย่างฟิลเลอร์ก็มีการไหลย้อยได้ในอนาคตถ้ามีการติดเชื้อก็เน่าได้ ใบหน้าและอวัยวะผิดรูปได้ตาบอดได้ และตายได้! รวมถึงเทคนิคการฉีดที่มั่วซั่ว เพราะหมอกระเป๋าจะอาศัยครูพักลักจำ แต่ถามว่ารู้ลึกถึงอะนาโตมีหรือกายวิภาคศาสตร์แบบหมอจริงๆ ไหม กล้ามเนื้อหรือเส้นเลือดอยู่ตรงไหน เขาได้เรียนมาไหม เนื่องจากไม่ได้เรียนมาและไม่สนใจจะเรียน บางคนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 …


การผ่าตัดศัลยกรรมตกแต่งสมัยนี้ ได้พัฒนารุดหน้าไปมาก มีเทคนิคใหม่มากมายจากทั้งไทยและต่างประเทศที่จะช่วยให้ใบหน้าดูสวยและได้สัดส่วนขึ้น การศัลยกรรมสมัยใหม่จะมองแบบองค์รวม คือทุกอย่างบนใบหน้าจะต้องลงตัว ไม่ใช่จมูกสวยตาปากสวยแบบเวอร์ๆ แต่อยู่รวมกันบนหน้าเราแล้วกลับดูไม่สวยไม่กลมกลืน ไม่เป็นธรรมชาติ ดูแล้วมันขัดตาแบบขาดๆ เกินๆแต่แหม คนธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ไม่ได้ทำงานใช้หน้าตาเหมือนดารานางแบบ พริตตี้ ครั้นอยู่ๆ จะให้มาทุบหรือทำทั้งหน้า ตาจมูก ปาก ก็ใช่ว่าทุกคนจะทำได้แบบนั้นจริงไหมคะ วันนี้หมอกระติ๊บจะมาเล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันนี้เทคนิคการทำศัลยกรรมในประเทศไทยที่สาวๆ หนุ่มๆ ฮิตทำกันนั้นมีอะไรบ้างเพื่อเป็นความรู้เบื้องต้นหากคุณคิดอยากจะทำศัลยกรรม การทำจมูกในประเทศไทยหลักๆ คือการเสริมด้วยซิลิโคนซึ่งจะสวยหรือไม่สวยก็ขึ้นอยู่กับฝีมือหมอและเทคนิคในการเหลาซิลิโคนของแต่ละท่าน เหมือนการปั้นหุ่นนั่นเอง ถ้าปั้นออกมาไม่สวยมันก็ขึ้นรูปออกมาไม่สวย ดังนั้น การเสริมจมูกด้วยซิลิโคนนั้นจะขึ้นอยู่กับฝีมือทั้งการเลาะ การเหลา การยัด การเย็บ ฉะนั้นฝีมือและสไตล์หมอแต่ละท่านจึงต่างกัน เนื่องด้วยเทคนิคการเหลาซิลิโคนที่แตกต่างกันนั่นเอง แต่สมัยนี้เทคโนโลยีทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ทางการหมอ เพราะมีซิลิโคนสำเร็จรูปที่ให้หมอเลือกใช้กันหลากหลายรูปแบบ ทั้งของอเมริกา เกาหลี ทำให้การเสริมจมูกในประเทศไทยแพร่หลายในวงกว้างมากขึ้น ราคาในการทำจมูกจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับฝีมือหมอและการทำการตลาดของแต่ละคลินิก ถัดจากเทคนิคการใส่ซิลิโคนอย่างเดียวก็มาถึงเทคนิคการใส่หยดน้ำที่ปลายจมูกด้วยกระดูกหู ไขมัน หรือเนื้อเยื่อต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่หมอที่ทำเทคนิคนี้จะประเมินทรงจมูกแบบผสมผสานเพื่อความสมดุลของจมูกของคนไข้ (นั่นหมายถึง เทคนิคที่ซับซ้อนทำยากขึ้น และราคาที่แพงขึ้นจนหูฉีกนั่นเอง) โดยเทคนิคนี้จะประกอบด้วยการทำจมูกหลักๆ สามอย่าง คือ การใส่ซิลิโคนไส้สโลปสันจมูกให้สวย การต่อปลายจมูกหยดน้ำด้วยกระดูกอ่อนหลังใบหู และการปรับปีกจมูกให้ได้รูปทรงสวยกลมกลืน ซึ่งวิธีการเสริมปลายจมูกด้วยกระดูกหลังใบหูนี้จะเป็นการแก้ไขปัญหาจมูกสั้น จมูกรั้น …


จั่วหัวซะน่ากลัว จริงๆ แล้วมันไม่น่ากลัวขนาดนั้นหรอกจ้า แต่คนเรานี่แหละที่ทำให้มันน่ากลั๊วววน่ากลัว คุณหมอคะ หนูอยากฉีดหน้าผาก อยากฉีดจมูก อยากฉีดคาง อยากฉีดหน้าผากให้โหนกนูน ไปจนถึงนม ถึง…(พูดออกอากาศไม่ได้) สารพัดที่จะฉีดได้ แต่สาวๆ รู้ไหมว่าฟิลเลอร์จริงๆ แล้วคืออะไร แล้วที่ฉีดเข้าไปจะปลอดภัยหรือเปล่า มีผลข้างเคียงหรือไม่ หมอกระติ๊บเลยจะมาเล่าถึงเรื่องฟิลเลอร์กันก่อน ซึ่งฟิลเลอร์หรือเรียกเป็นภาษาไทยว่าสารเติมเต็ม (ขอวิชาการหน่อย อย่าเพิ่งหลับหรือวางก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวมีฮาแน่นอน) ฟิลเลอร์จริงๆ แล้วเป็นชื่อเรียกรวมๆ แต่อันที่จริงแล้วเป็นสารที่ปลอดภัยและผ่าน อย. และยอมรับกันในหมู่แพทย์จะเป็นสารที่เรียกว่า Hyaluronic Acid ซึ่งโดยธรรมชาติจะสลายหมดภายใน 1 ปี เต็มที่ก็ไม่เกินปีครึ่ง สองปี และสลายได้หมด รวมถึงสามารถฉีดสลายได้ด้วยยาสลายที่เรียกว่า Hyaluronidase ซึ่งเรียกได้ว่าปลอดภัย และหากเป็นก้อน ไม่ชอบก็สามารถฉีดสลายได้ส่วนสารอื่นๆ เช่น Aquamid Aquaderm Aquafilling ซึ่งเป็นสารที่มีชื่อว่า Polyacrylamide เป็นสารที่มีราคาถูกกว่ามากๆ อยู่ได้นานกว่า 2-5 ปี แต่มักเกิดปัญหาไหลย้อย เป็นก้อน ไม่สามารถฉีดสารใดๆ ไปสลายได้ แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือพวกซิลิโคนเหลว …


เมื่อพูดถึงเรื่องสวยๆ งามๆ แบบแปะ กิน ทา มามากแล้ววันนี้หมอกระติ๊บขอพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับฉีดกันบ้าง เอาเป็นว่า ณ วินาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จักน้องโบหรือโบท็อกซ์แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นคุณลุง คุณป้า คุณย่า คุณยาย ต่างเคยได้ยินคำนี้กันมาบ้างแล้ว บางคนอาจจะเคยใช้บริการฉีดโบท็อกซ์เพื่อความเป็นอมตะกันมาบ้างแล้วก็ได้ ก่อนอื่นต้องขอเล่าก่อนว่า โบท็อกซ์นั้นมีใช้กันมานานโดยผ่านการทดลองมาร้อยแปด จากแต่ก่อนมีเพียงไม่กี่ยี่ห้อแต่ตอนนี้โบท็อกซ์ยุคโลกาภิวัตน์นี้มีหลายร้อยยี่ห้อจนจาระไนไม่หมด อันที่จริงแล้วโบท็อกซ์จะแบ่งตามสายพันธุ์ แต่คุณผู้อ่านอาจจะไม่อยากรู้ หมอเองยังขี้เกียจจำ เอาเป็นว่ามารู้จักโบท็อกซ์แบบบ้านๆ สไตล์หมอกระติ๊บเหมือนเดิมดีกว่านะคะ ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์เป็นการเล่นกับกล้ามเนื้อ เราสามารถใช้โบท็อกซ์ได้หลากหลาย เช่น การลดริ้วรอย (ที่เกิดจากการหดตัวขยับซ้ำๆ ของกล้ามเนื้อจนเกิดริ้วรอย) ลดขนาดใบหน้า โดยการลดกล้ามเนื้อบริเวณกราม (กล้ามเนื้อบดเคี้ยวที่ทำให้กรามดูใหญ่ หน้าดูกางเป็นเหลี่ยม) และอื่นๆ เช่น การลดเหงื่อ การลิฟต์ ซึ่งการฉีดแต่ละแบบก็มีวิธีแตกต่างกัน โบท็อกซ์ที่ผ่าน อย. ในประเทศไทยและนิยมใช้จะมีอยู่ไม่กี่ยี่ห้อ ซึ่งเป็นสารที่เรียกกันอย่างสามัญว่า Botulinum Toxin A (ส่วนชื่อยี่ห้อขออุบไว้ก่อนค่ะ ลิขสิทธิ์พี่เขาแรงมาก หากอยากรู้หลังไมค์กับหมอนะคะ) ส่วนคำถามที่สาวๆ ต้องถามเลยก็คือ เอ๊ะ! แล้วมันต่างกันอย่างไร ต่างยี่ห้อ ต่างสัญชาติ หน้าตาจะต้องไม่เหมือนกันถูกไหมคะ …


เราคงเคยได้ยินคำว่าเมโสกันบ่อยๆ แต่ว่ามันคืออะไรแล้วช่วยในเรื่องความสวยอย่างไร เดี๋ยวหมอกระติ๊บจะเล่าให้ฟังครั้งต่อไปตอนเข้าคลินิกจะได้ไม่งงว่าทำไมเมโสถึงมีมากมาย โดยเมโสเธอราพีได้รับการคิดค้นโดยนายแพทย์ชาวฝรั่งเศษเมื่อปี ค.ศ. 1952 โดยเริ่มแรกนำมาใช้ในการรักษาพวกโรคปวดข้อ ไมเกรน ดังนั้น คำว่าเมโสเธอราพีจึงเป็นชื่อเรียกการรักษาแบบหนึ่งโดยการฉีดสารต่างๆ เข้าไป เพื่อจุดประสงค์ต่างกันเหมือนชื่อเรียกรวมๆ เช่น ต้มจืด ต้มแซบ ต้มพะโล้ ต้มแกง คืออาหารแบบต้มเหมือนๆ กัน แต่สูตรและวิธีทำแตกต่างกัน เมโสก็เช่นกัน เป็นการใช้เข็มฉีดหรือเดินสารอะไรบางอย่างเข้าร่างกายหรือบริเวณผิวหนังต่างๆ กัน เช่น เมโสแฟต เป็นการฉีดสารต่างๆเข้าไปในชั้นไขมัน เพื่อกระตุ้นให้ไขมันปล่อยออกมาและมีการขับถ่ายออกไปทางระบบน้ำเหลือง เมโสหน้าใสหรือชื่อเมโสที่เกี่ยวกับขาวๆ ใสๆ เช่น Mesowhite, Mesobright เป็นการฉีดหรือสะกิดสารที่ทำให้หน้ากระจ่างใสจำพวกไวเทนนิงหรือวิตามินหรือสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ ซึ่งจะมีสูตรต่างๆ แตกต่างกันออกไปเมโสลิฟต์หรือพวกยกกระชับจะคล้ายกับเมโสหน้าใส แต่ตัวยาที่ใช้ต่างกัน เพื่อให้ผลคนละแบบ เน้นในการสร้างความแข็งแรงหรือกระชับผิว เมโสช่วยกระตุ้นการเกิดผมใหม่ ลดอาการผมร่วงก็ใช้ยาที่ช่วยในการลดผมร่วง และการตุ้นการเกิดผมใหม่โดยการฉีดหรือสะกิดเข้าไปที่รากผม เพื่อช่วยแทนยาทา ดังนั้น คำว่าเมโสคือการฉีดบางสิ่งเข้าไป โดยโบท็อกซ์ถือเป็นเมโสเธอราพีประเภทหนึ่งเหมือนกัน ส่วนสูตรเมโสนั้นมีมากมายหลายแบบ ส่วนใหญ่มักจะผสมยาหลายตัวเพื่อให้ออกฤทธิ์เสริมกัน ซึ่งข้อดีของเมโสมีหลายอย่าง เช่น ให้ผลเร็วกว่าการทายาแน่นอน เพราะว่ายาเข้าสู่เนื้อเยื่อและผิวหนังโดยตรงโดยการฉีด แต่ข้อควรระวังก็มีเช่นกัน เช่น โอกาสในการแพ้ยาเมโสที่ฉีด ความสะอาดในการทำหัตถการ …